เช็คลิสอาการเสี่ยงเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นคำพูดที่ใช้ในการบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในคนที่ทำงานในสภาพแวดล้อมของออฟฟิศหรือที่ทำงานนั่งโต๊ะเป็นเวลานาน อาการเสี่ยงต่อการเป็นออฟฟิศซินโดรมมีหลายอย่าง จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันเลยค่ะ

 

1. อาการปวดหลัง

อาการปวดหลังพบได้บ่อยที่ส่วนล่างของหลัง (lower back pain) หรือบริเวณส่วนต้นและคอของหลัง (upper back and neck pain) ซึ่งอาจเกิดจากการนั่งทำงานนิ่งๆ เป็นเวลานาน หรือการนั่งในท่าไม่ถูกต้องทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมได้

 

2. อาการปวดหัว

คุณอาจมีอาการปวดหัวบ่อยครั้งเนื่องจากความเครียดและการตึงกล้ามเนื้อในบริเวณคอและหน้า

 

3. อาการปวดตา

เนื่องจากทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจทำให้ปวดตา ตาเหนื่อย แห้ง หรือมีอาการบวม

 

4. อาการปวดข้อมือและมือ

เกิดจากการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์เป็นเวลานาน ส่งผลให้กล้ามเนื้อข้อมือและมืออ่อนแรง และมีอาการปวด

 

5. อาการบวมและปวดขา

อาจเกิดจากการนั่งนานๆ ทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง ส่งผลให้เกิดอาการบวมและปวดขา

 

6. อาการควบคุมอารมณ์ไม่ดี

ความเครียดและกังวลที่เกิดจากการทำงานนานๆ อาจส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตตามมา

 

วิธีลดความเสี่ยงในการเป็นออฟฟิศซินโดรม ควรปฏิบัติตามแนวทางนี้

1. ลุกยืนและเคลื่อนไหวบ่อยๆ ทุกๆ 30 นาที ควรยืนและเคลื่อนไหวอย่างน้อย 1-2 นาที เพื่อช่วยลดการกดทับเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และลดอาการออฟฟิศซินโดรม

2. ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง ปรับระดับความสูงของเก้าอี้ และที่วางมือคีย์บอร์ดและเมาส์ให้อยู่ในท่าที่สบาย

3. ใช้อุปกรณ์ที่มีความสะดวกสบายลดอาการออฟฟิศซินโดรม เช่น เบาะรองหลังที่เข้ากับสรีระของคุณและมีความนุ่มนั่งสบาย

4. ใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสม ตั้งความสูงและอัตราส่วนของหน้าจอให้เหมาะสมกับตาเรา

5. ใช้เทคนิคการแบ่งเวลาทำงาน ไม่ควรทำงานนานๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ควรแบ่งเวลาและการทำงานเป็นช่วงๆ ให้มีพักเพียงพอ

6. ออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและระบบของร่างกาย

7. รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ควรรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

 

ถ้าคุณมีอาการที่เกี่ยวข้องกับสภาพออฟฟิศซินโดรมตามที่กล่าวมา เพื่อลดความเสี่ยงของการเป็นออฟฟิศซินโดรมควรลุกขึ้นยืนและยืดร่างกาย ไม่นั่งหรืออยู่ท่าเดิมเป็นเวลานานๆ หากพบว่าอาการแย่ลงควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อให้ได้การวินิจฉัยและทำการรักษาที่เหมาะสมแก่คุณ